มลภาวะกับผิวหนัง บทสัมภาษณ์ โดย พญ.ไพลิน พวงเพชร แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านผิวหนัง กลุ่มงานผื่นแพ้สัมผัสและอาชีวเวชศาสตร์ สถาบันโรคผิวหนัง
รอยโรคคือสิ่งที่แสดงถึงความแก่ของผู้สูงวัย ผู้ป่วยหลายคนจึงนิยมเข้ามาปรึกษาแพทย์ผิวหนังบ่อยๆ เพื่อหาทางป้องกันไม่ให้ผิวหนังของตัวเองดูแก่และมีริ้วรอยมากขึ้นกว่าเดิม โดยสามารถสังเกตได้จากตลาดเครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ที่เกี่ยวกับการป้องกันและรักษาริ้วรอยก่อนวัย ซึ่งมีมูลค่าสูงขึ้น จากการศึกษาพบว่า มลภาวะทางอากาศ (Air pollution) มีสารมลพิษ (Pollutants) เป็นปัจจัยภายนอกอีกสิ่งหนึ่งนอกจากแสงแดดและการสูบบุหรี่ ทำให้ผิวหนังแก่ก่อนวัยอันควร โดยเฉพาะ อนุภาคของละอองฝุ่น หรือ particulate matter (PM) จากการจราจร รวมทั้งก๊าซ เช่น ไนโตรเจนไดออกไซด์ที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ฝุ่นและทำให้เกิดจุดด่างดำบนใบหน้า รวมทั้งกระแดดที่เพิ่มมากขึ้น โดยสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในคนผิวขาวและชาวเอเชีย รวมทั้งอาจทำให้อาการโรคผิวหนังที่เคยเป็นอยู่เป็นมากขึ้นกว่าเดิมได้
Environment Protection Agency แบ่งมลพิษเป็น 6 กลุ่ม ดังนี้
1. อนุภาคมวลสาร หรือ สารอนุภาคละอองฝุ่น (particulate matter)
เกิดจากเขม่า ควันเสีย อุตสาหกรรม ซึ่งมีการแบ่งตามขนาดของอนุภาค เป็น - PM10 หรือฝุ่นหยาบ มีขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอน - PM2.5 หรือฝุ่นละเอียด มีขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน ซึ่งยิ่งมีขนาดเล็กยิ่งเข้าสู่ทางเดินหายใจได้ลึกกว่า ลอยอยู่ในอากาศได้นานกว่า และส่งผลต่อสุขภาพได้มากกว่า ทั้งระบบทางเดินหายใจ ระบบหัวใจและหลอดเลือดและผิวหนัง ซึ่งจากอาการแพ้ฝุ่นละออง PM 2.5 พบว่าด้วยขนาดของฝุ่น PM 2.5 มีขนาดเล็กมากจนสามารถผ่านเข้าไปในผิวจนทำให้เกิด 4 ปัญหาผิวได้ดังนี้
- สิว
- ผิวแห้ง
- ผิวแพ้ง่าย/ระคายเคือง
- ฝ้า กระ จุดด่างดำ
หากผิวหนังซึ่งสัมผัสโดยตรงกับมลพิษเหล่านี้ ก็มีแนวโน้มที่จะเกิดการระคายเคืองได้ง่ายขึ้น และไวต่อการแพ้มากขึ้น อาจทำให้เกิด อาการแพ้ฝุ่น, ผื่นผิวหนังอักเสบ (eczema), ผื่นผิวหนังอักเสบภูมิแพ้ (atopic dermatitis), ผื่นแพ้สัมผัส (contact dermatitis) ได้ โดยกลไกคือ ทำให้เกิด reactive oxygen species ทำให้เกิดการสันดาป (oxidation) ของไขมันและโปรตีน ซึ่งสามารถทำให้เกิดการหลั่งสารเคมีที่ทำให้เกิดการอักเสบเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ ยังพบว่าหากมีปัจจัยทั้งจากมลภาวะร่วมกับรังสีอัลตร้าไวโอเลต (UV) โดยเฉพาะ UVA ก็จะทำให้เกิดผลเสียต่อผิวหนังได้มากขึ้น
2. ตะกั่ว
เกิดจากขั้นตอนการผลิตในอุตสาหกรรมและโลหะ
3. โอโซน (Ozone, O3)
โมเลกุลของโอโซนสามารถทำให้สารต้านอนุมูลอิสระที่ผิวชั้นนอกลดลงได้ (Packer 1990) จากการศึกษาในหนูพบว่า สามารถทำให้เกิดปฏิกิริยา lipid และ protein oxidation เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุของรอยเหี่ยวย่นได้ แต่ไม่เกี่ยวข้องกับจุดด่างดำต่าง ๆ นอกจากนี้การศึกษาที่พบความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณโอโซนในอากาศและการมาโรงพยาบาลด้วยผื่นผิวหนังอักเสบ (Xu BJD 2011;165:199) ซึ่งแสดงว่าทำให้โรคผิวหนังที่เป็นอยู่แย่ลงได้
4. ไนโตรเจนทางการแพทย์
ไนโตรเจนที่ใช้ในกระบวนการที่เกี่ยวกับการป้องกันและรักษาริ้วรอย ลดสิว และไดออกไซด์ (NO2) จากไอเสียรถยนต์
5. ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO2) จากอุตสาหกรรม
6. คาร์บอนมอนนอกไซด์ (CO) จากควันบุหรี่
คาร์บอนมอนนอกไซต์จากควันบุหรี่ส่งผลต่อผิวหนังอย่างไร
คาร์บอนมอนนอกไซด์เป็นมลภาวะอีกหนึ่งอย่างที่เสี่ยงทำให้เกิดการแพ้ฝุ่นเกิดผื่นขึ้น ซึ่งส่งผลต่อผิวหนังให้ระคายเคืองเกิดอาการแพ้ฝุ่นได้ดังนี้
1) Sebum oxidation คือเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่นกับน้ำมันเคลือบผิว เกิดอนุมูลอิสระมาทำลายผิว
2) Skin barrier alteration คือทำลายเกราะปราการปกป้องผิวตามธรรมชาติ ทำให้ผิวอ่อนแอลง
3) Cells inflammation คือการอักเสบของเซลล์ จากการมี oxidative stress ไปกระตุ้นให้มีการหลั่งสารก่อการอักเสบออกมา
ปัญหาทางผิวหนังกับอาการแพ้ฝุ่น
ปัญหาทางผิวหนังที่ก่อให้เกิดอาการแพ้จากมลภาวะ ได้แก่
1) Sensitive skin คือผิวบอบบาง ระคายเคืองง่าย ผิวแพ้ง่าย
2) Eczema หรือผิวหนังอักเสบ มีอาการแพ้ฝุ่น ทั้ง ผื่นผิวหนังอักเสบภูมิแพ้ (atopic dermatitis) และ ผื่นแพ้สัมผัส (contact dermatitis)
3) สิว และผิวมัน (acne and excess sebum) มีการศึกษาที่พบว่ามลภาวะทำให้มีการหลั่ง sebum เพิ่มมากขึ้น โดยพบสาร squalene oxides ในสิวอุดตันทั้งแบบหัวเปิดและหัวปิด และพบว่าการเกิดออกซิเดชั่นของสาร squalene นี้เพิ่มขึ้นถึง 3.5 เท่า เมื่อมี UVA ร่วมกับมลภาวะ เทียบกับ UVA เดี่ยว ๆ
4) ผิวแห้ง ขาดความชุ่มชื้น
5) ริ้วรอย
6) จุดด่างดำ หมองคล้ำ
ลดความเสี่ยงจากอาการแพ้ฝุ่น ด้วย 3 ขั้นตอนง่ายๆ
การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยป้องกันผิวหนังจากมลภาวะทางอากาศ ที่ช่วยลดการแพ้ฝุ่นหรือผื่นขึ้นจากมลภาวะเริ่มเป็นที่ต้องการมากขึ้น โดยเฉพาะในผู้ที่มีผิวระคายเคืองง่าย (sensitive skin) หรือมีโรคผิวหนังอยู่แล้ว จากการศึกษาทางคลินิกภายใต้การดูแลของแพทย์ผิวหนังพบว่า การป้องกันการเกิดอาการแพ้ฝุ่น ป้องกันการผื่นขึ้น จำเป็นต้องดูแลผิวให้ครบ 3 ขั้นตอน สำหรับขั้นตอนการลดปริมาณสารมลภาวะบนผิวหนังมีดังนี้
1. ทำความสะอาด: Purify
ล้างทำความสะอาด ขจัดสารอนุภาคละอองฝุ่นที่ตกค้าง ออกจากผิวหนังโดย 3 ขั้นตอนดังนี้
1.1 ไม่เป็นการทำความสะอาดที่มากเกินไป ซึ่งจะทำลายเกราะปราการชั้นผิว ล้างหน้าวันละ 2-3 ครั้งก็เพียงพอ ไม่ควรขัดหน้าหรือถูแรง ๆ
1.2 ใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับสภาพผิว ควรเลือกผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวได้อย่างหมดจดตั้งแต่การเช็ดทำความสะอาดผิวหน้าเบื้องต้นด้วยไมเซล่า คลีนซิ่ง วอเตอร์และเจลล้างหน้าที่เหมาะกับสภาพผิวของผู้ใช้ เช่น ผิวแห้งระคายเคืองง่าย หรือผิวมัน เพื่อไม่ก่อให้เกิดอาการระคายเคืองผิว
1.3 ควรเป็นสูตรที่ปราศจากสบู่ ไม่มีสารกันเสียพาราเบน มีความเป็นกรดด่างที่เหมาะสม
2. บำรุงผิว: Reinforce
การใช้มอยซ์เจอไรเซอร์ช่วยบำรุงให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว ซึ่งจะช่วยป้องกันอนุภาคละอองฝุ่นไม่ให้เกาะติดที่ผิวได้ดีขึ้น และเป็นการเสริม ซ่อมแซมเกราะปราการชั้นผิวที่ช่วยป้องกันผิวจากมลภาวะ ในผู้ที่มีผิวระคายเคืองง่ายช่วยไม่ให้เกิดอาการแพ้ฝุ่น ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ปราศจากสารก่อระคายเคือง ไม่มีน้ำหอม ลาโนลิน ไม่ก่อให้เกิดสิว (non-comedogenic) หรือใช้ครีมบำรุงสำหรับคนเป็นสิว นอกจากนี้ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์มอยซ์เจอไรเซอร์ที่มีประสิทธิภาพที่ช่วยลดการเกาะติดของ PM 2.5 ที่ผิวหรือมีกลไกในการสร้างฟิล์มเคลือบผิวช่วยในการปกป้อง PM 2.5 เพื่อลดการเกิดอาการแพ้ฝุ่นและระคายเคืองผิวจากฝุ่นและต้องผ่านการทดสอบภายใต้การดูแลของแพทย์
3. ปกป้องผิว: Protect
ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ปกป้องผิวจากแสงแดด ที่มีส่วนผสมของสารที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันมลพิษและฝุ่นละออง PM 2.5 โดยควรเป็นผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดดที่สามารถป้องกันแสงแดดได้ครอบคลุมทั้ง UVA และ UVB มีสารต้านอนุมูลอิสระ ยับยั้งอนุภาคละอองฝุ่นไม่ให้เกาะติดที่ผิว (anti-adhesion) และลดอาการแพ้ฝุ่นได้อีกด้วยการใช้ ครีมกันแดด spf 50 นอกจากจะช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัย ลดการเกิดจุดด่างดำ กระ ฝ้า ยังช่วยป้องกันมะเร็งผิวหนังได้อีกด้วย โดยมีข้อควรระวังในการใช้ ดังนี้
3.1 แม้ว่าผู้ที่อยู่แต่ในร่ม ก็ควรใช้ผลิตภัณฑ์กันแดดเป็นประจำทุกวัน
3.2 ควรทาให้ทั่วทั้งใบหน้าและลำคอ
3.3 ทาในปริมาณที่เพียงพอ คือ 1 กรัม หรือบีบครีมออกมายาว 2 ข้อนิ้วมือ สำหรับใบหน้า
3.4 ทาก่อนออกแดด 30 นาที และทาซ้ำทุก 2 ชั่วโมง หากอยู่กลางแดดนาน
สรุปได้ว่ามลภาวะในอากาศสามารถส่งผลเสียต่อผิวหนังและคุณภาพชีวิตได้ โดยเฉพาะผิวหนังที่เป็นโรคอยู่แล้ว อาจทำให้ผิวหนังระคายเคือง อักเสบ หรือมีอาการแพ้ฝุ่นง่ายขึ้น จาก oxidative stress ทำให้มีการหลั่งสารที่ทำให้เกิดการอักเสบ และทำให้เกราะปราการของผิวหนังเสียไป ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยของผิวและร่างกายของเราควรพยายามหลีกเลี่ยงการอยู่ในสภาวะที่มีมลภาวะ ฝุ่นละอองมากและควรหาผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพช่วยปกป้องผิวให้ปลอดภัยจากมลภาวะและฝุ่น PM 2.5 ด้วย